วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับมะเร็ง


bd524ffbf3a88b9
  1. เมื่อมีอายุมาก  มะเร็งเติบโตช้า  มะเร็งเป็นโรคของคนแก่  คือร้อยละ 60  ของผู้ป่วยมะเร็งพบในคนอายุมากกว่า 65 ปี  ของผู้ป่วยวัยนี้มีโอกาสพบมากขึ้นถึง 10 เท่า  เมื่อเปรียบเทียบกับคนอายุน้อยกว่าและมีโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าทั้งนี้  เซลล์มะเร็งจะเติบโตเร็วหรือช้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัยอายุไม่ไช่ตัววัดการเติบโตของมะเร็งมากขึ้น  ในความเป็นจริงก็คือ  เมื่ออายุเฉลี่ยของผู้หญิงจะอยู่ในวัย  69 ปี  ผู้ชาย 67 ปี  ซึ่งช่วงอายุที่ว่านี้สามารถตรวจมะเร็งโดยการตรวจทางการแพทย์  เช่นทำแมมโทแกรมเต้านม  ตรวจมะเร็งลำไส้หรือมะเร็งผิวหนัง  แต่มะเร็งบางชนิดที่พบในคนอายุน้อยจะมีความร้ายแรงมากกว่าคนอายุมาก  ได้แก่  มะเร็งเต้านมที่เกิดในคนอายุน้อยกว่า 35 ปี  หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เกิดในคนอายุน้อยกว่า 40 ปี  หรือมะเร็งดำเนินโรคที่รุนแรงและรักษาได้ยากกว่า
2. ผู้หญิงและผู้ชายมีความเสี่ยงเท่ากัน  จากสถิติ  ผู้ชายเป็นมะเร็งบางชนิดมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า  เช่น  มะเร็งผิวหนัง  เนื่องจากผู้ชายทาครีมกันแดดน้อยกว่า  นอกจากนี้ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เหมือนกัน  แต่พบเพียงร้อยละหนึ่งของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมเท่านั้น  และกว่าที่ผู้ชายจะรู้ตัวก็มันจะรักษาให้มีโอกาสรอดได้ยาก  จึ้งแย้กว่าผู้หญิง  และมะเร็งบางชนิดเป็นเฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น  เช่นมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย  หรือมะเร็งปาดมดลูกที่เป็นเฉพาะผู้หญิง
3. แอลกออล์ไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง  ข้อเท็จจริงก็คือ  ยิ่งบริโภคแอลกอฮอร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งเท่านั้น  เพราะการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะนำไปสู่โรคมะเร็งตับ  มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งหลอดอาหาร  ที่สำคัญคือ  ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์จะเสี่ยงกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก  เหตุผลก็คือ  การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ร่างกายไม่อาจขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ดีและการที่มีฮอร์โมนมากเกินไปก็อาจจะเสี่ยงกับมะเร็งในผู้ชายหรือผู้หญิง  ที่สำคัญก็คือ  การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ด้วยก็จะเมความเสี่ยงกับมะเร็งปอดนอกจากนี้บุหรี่อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
4. คนที่ไม่ได้กินผลไม้  มีความเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็ง  นี่คือความเข้าใจครึ่งหนึ่งของผุ้ตอบแบบสอบถามในประเทศที่ร่ำรวย  ในความเป็นจริงก็คือทั้งผักละผลไม้สามารถป้องกันมะเร็งได้  แต่ต้องเป็นผักและผลไม้ที่ปลอดจากสารพิษ  ทั้งนี้  องค์การอนามัยโรคได้แนะนำให้รับประทานอาหารผักและผลไม้สดที่ปลอดจากสารพิษปริมาณ 400 กรัมต่อวัน  ซึ่งมังสวิรัติหรือนักกีฬามักดูแลสุขภาพด้วยตนเองด้วยการกินผักและผลไม้คือคนที่ที่ใส่ใจกับสุขภาพและควบคุมน้ำหนักตัวก็จะลดความเสี่ยงกับโรคมะเร็ง  ในขณะที่คนอ้วนมักมีความเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็งเพราะขาดความใส่ใจในเรื่องของการกิน
5.  ความเครียดและอาหารเป็นพิษทำให้เป็นมะเร็ง  การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการเกิดโรคมะเร็งในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมาได้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน  แต่ไม่พบว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งโดยตรง  แต่อย่างไรก็ตาม  จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าความเครียดมีพลกระทบประสาทและต่อมไร้ท่อ  ซึ่งอาจมีผลทางอ้อมต่อการเกิดโรคมะเร็ง  ทั้งนี้  ประมาณ 78 % ของประชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วคิดว่า  อากาศเป็นพิษทำให้เกิดโรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรัง  และจาการศึกษาทำไห้อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้น  และก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าอากาศเป็นพิษทำให้เกิดเป็นมะเร็งหรือไม่  แต่จากการศึกษาในประเทศอเมริกาชี้ให้เห็นว่า  สารพิษเป็นอันตรายต่อเด็กและสตรีในครรภ์  นักวิจัยจึงคาดว่าสารเคมีจะส่งผ่านไปสู่ทารก  ซึ่งจะทำให้ยีนเสียหายและทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นโรคคลูคีเมียได้ในอนาคต  แต่ผู้เชี่ยวชาญมะเร็ง  แค่ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิจารณ์การศึกษานี้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัด
6.  เป็นมะเร็งแล้วต้องตาย  ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนามักคิดว่า  หากเป็นมะเร็งและจะต้องตายแน่ๆ  แต่ที่ต้องตายก็เพราะความเข้าใจผิดๆ  เกี่ยวกับมะเร็งมากกว่า  ในความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับการตรวจรักษามะเร็ง  ไม่ว่าจะทำให้รอดหรือเสียชีวิตก็ตาม  เพราะยิ่งพบมะเร็งเร็วและได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพก็จะยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น  โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก  มะเร็งลำไส้  มะเร็งผิวหนัง  ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งปอดแล้วมะเร็งดังกล่าวมีทางรักษาได้รอดชีวิตมากกว่าทั้งนี้  ประมาณ  75 % ของประชากรในประเทศยากจนมักปล่อยให้แพทย์เป็นผุ้ตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษามะเร็งทั้งหมด  ในขณะที่ประชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วอยากมีส่วนร่วม  กับแพทย์ในการตัดสินใจรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันนี้โรคมะเร็งที่รักษาให้หายขากได้ร้อยละ 49 ของผู้ป่วย  ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค  รวมทั้งสุขภาพของผู้ป่วยและวิธีการักษาที่ถูกต้องต้องมีประสิทธิภาพ
7. การผ่าตัดและการฉายแสงทำให้มะเร็งลุกลาม  คนทั่วไปมักหวาดกลัวกับการรักษาด้วยการฉายแสง  ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับอันตรายจากรังสีทั้งนี้  การฉายแสงสามารถรักษามะเร็งได้ 40% โดนรังสีมีข้อบ่งชี้หลายประมาร  ได้แก่การบำบัด  อาการเจ็บที่หวังผลหายขาด  รักษาเสริมหลังการผ่าตัดหรือลดขนาดก้อนมะเร็ง  เพื่อผ่าตัดก้อนมะเร็งออกให้หมด
การฉายแสงจะช่วยทำให้มะเร็งเล็กลงเพื่อให้แพทย์ผ่าตัดออกได้ง่ายขึ้น  และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการผ่าตัดจะทำให้มะเร็งลุกลาม  ในสมันก่อนนั้นการผ่าตัดแผลใหญ่สามารถทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้จากการปนเปื้อนของเซลล์มะเร็งไปยังเนื้อเยื่อปกติ  แต่ในปัจจุบันมีการผ่าตัดแบบแผลเล็กหรือผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งก็จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้
8. ยาไม่อาจช่วยได้เมื่อมีอาการเจ็บปวดจากมะเร็ง  เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายจะทำให้เจ็บปวดมาก  ซึ่งยาสมัยนี้สามารถช่วยได้  ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจากองก์การอนามัยโรคได้พัฒนายาบรรเทาความเจ็บปวดตั้งแต่ยาง่ายๆ  เช่น  lbuprofen,Diclofenac จนกระทั้งยา  Morphine  ซึ่งมีทั้งชนิดฉีดดม  หรือแผ่นแปะผิวหนัง
9. วิตามินสำเร็จรูปช่วยปกกันมะเร็ง  จากการศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์พบว่าวิตามินศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์พบว่าวิตามินซีหรือเบต้าแคโรทีน  ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง  แต่อาจทำให้เกิดผลตรงกันข้ามได้  ทั้งการศึกษาของนักวิจัยมะเร็งพบว่า  ผู้ที่สูบบุรี่แล้วกินเบต้าแคโรทีนสำเร็จรูปจะมีอัตราเสี่ยงกับมะเร็งปอดมากว่า  หรือกินซีล๊เนียมก็เพิ่มความเสี่ยงให้โรคเบาหวานมากขึ้น  ควรรับประทานอาหารในปริมาณปกติที่ร่างกายเรารับได้จะดีกว่าการบริโภควิตามินมากเกินไป  เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
10. ครีมกันแดดป้องกันมะเร็งผิวหนัง  การทาครีมป้องกันรังสียูวีสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังไม่ได้มากนัก  แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าใช้ครีมกันแดดป้องกันแล้วก็จะตากแดดได้มากขึ้น  โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย  แพทย์ผิวหนังวิจารณ์ครีมกันแดดที่มีส่วนทำให้ชาวออสซี่เสี่ยงกับโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น  เนื่องจากเข้าใจว่าเมื่อทาครีมกันแดดแล้วก็อาบแดดได้เต็มที่ที่คิดว่าปลอดภัย  ดังที่มีรายงานใน Medical  Journal of Australia เมื่อยี่สิบก่อนที่ดีที่สุดคือทาครีมกันแดดแล้วก็ต้องใส่เสื้อผ้าปกป้องผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง  และควรเป็นผ้าเนื้อหนาและควรมีสีเข้ม  ในปัจจุบันนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าครีมกันแดดก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
ขอขอบคุณ : นิตยาสาร Lisa

ใช้ครีมกันแดดอย่างไรให้เหมาะ


ครีมกันแดด
     ถึงแม้แสงแดดจะมีประโยชน์ที่หลากหลายต่อมนุษย์  แต่การได้รับแสงแดดในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดผิวไหม้แดง  เกิดฝ้า  กระ  และทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย  ไปจนถึงอาจเกิดโรคร้ายแรงอย่ามะเร็งผิวหนัง  การปกป้องแสงแดดจึงเป็นเรื่องจำเป็น  และการใช้ครีมกันแดดก็เป็นทางเลือกยอดนิยมอย่างหนึ่ง  หากก็ต้องเลือกให้เหมาะ  เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการกันแดดอย่างเพียงพอ
       ครีมกันแดดโดยทั่วไปมักจะบ่งออกถึง  SPF หรือประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดชนิด UVB แต่ที่ควรใส่ใจไม่แพ้กันคือค่าป้องกันรังสี UVA ซึ่งมักจะบ่งบอกไว้ด้วยคำว่า PA หรือ PPD นอกจากนี้  ครีมกันแดดที่ดีควรมี  Photostability หรือความคงทนต่อแสงของครีมกันแดด  ซึ่งครีมกันแดดที่ไม่คงทนต่อแสงหรือสลายไปมากกว่า 25% พลังถูกแสงยูวี  จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดลดน้อยลง
    อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้จะเลือกครีมที่เหมาะสมแล้ว  แต่ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้อง  ประสิทธิภาพของครีมกันแดดก็จะลดน้อยลง  อย่างเช่น  การทาครีมกันแดดนั้น  หากจะได้ประสิทธิภาพตามที่กำหนด  ก็ต้องใช้ปริมาณครีมราวหนึ่งช้อนชาต่อหนึ่งตารางเซนติเมตร  หรือราวสองข้อนิ้วมือสำหรับการทาหน้าและคอ  ซึ่งโดยทั่วไปคนเรามักทาน้อยกว่านั้น  จึงแนะนำให้แบ่งทาครีมกันแดดสักสองรอบ  โดยใช้ครีมกันแดดแต่ละครั้งราว หนึ่งข้อนิ้วมือ  และทาครีมกันแดดก่อนออกแดดราว 15 นาที  เพื่อให้ครีมกันแดดยึดติดกับผิวได้ดีกว่า  และถ้าต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ  ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกสองชั่วโมง
ขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

ตะคริว


        คำเรียกอาการปวดเกร็ง  เจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง  เฉียบพลัน  ส่วนมากมักเป็นบริเวณขา  แขน  แต่ก็อาจเกิดที่มือ  นิ้ว  และต้นคอได้เช่นกัน
        แม้ว่าตะคริวจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ  เช่น  ขาดน้ำ  พักผ่อนน้อย  ความเครียด  เส้นประสาทเสียหายจากการเคลื่อนไหวซ้ำๆ  ท่าเดิมมากเกินไป  แต่สาเหตุหลักที่สำคัญคือ  การขาดธาตุโพแทสเซียมแมกนีเนียม  และแคลเวียม  สารอาหารสำคัญที่ช่วยดูแลการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อนั่นเอง
         ดังนั้นวิธีป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวก็คือ  การรับประทานอาหารซึ่งมีแร่ธาตุดังกล่าวอย่างเพียงพอ  เช่น  ขนมปังโฮลวีต  ซีเรียล  ธัญพืช  พืชตะกูลถั่ว  ถั่วเปลือกแข็ง  กล้วยหอม  ส้ม  แคนตาลูป  และนม  นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น  โดยเฉพาะก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว  และพักดื่มน้ำครึ่งแก้วถึง 1 แก้ว  ระหว่างเล่นกีฬาทุกๆ  10 – 20 นาที  ส่วนคนที่เป็นตะคริวระหว่างนอนหลับ  ควรนอนในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด  เท่าไม่เหยียดตึงเกินไป  เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อขาเกร็ง  นอกจากนี้การห่มผ้าให้ร่างกายอบอุ่นก็ช่วยได้เช่นกัน
          ถ้าสุดวิสัยเป็นตะคริว  วิธีที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดคือยืดกล้ามเนื้อที่ปวดและเกร็งแข็งให้คลายออก  ดดยใช้ยาหม่อง  น้ำมันมวย  หรือครีมนวดคลายกล้ามเนื้อ  อาจใช้แผ่นความร้อนหรือผ้าร้อนๆ  ประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 20 นาที  แล้วทิ้งช่วงไว้อย่างน้อยอีก 20 นาทีก่อนจะประคบใหม่  จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น  หากเป็นตะคริวที่น่องควรเหยียดขาให้ตึง  กระดกเท้าขึ้น  อาจใช้มือดึงปลายเท้าเข้ามาหาตัวเองเพื่อช่วยอืดกล้ามเนื้อ  อีกวิธีหนึ่งคือ  กำหมัดหลวมๆ  กดลงกลางจุดที่ปวดเป็นตะคริว  ค้างไว้ 10 วินาที  แล้วปล่อย 10 วินาทีจึงกดใหม่  ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง  อาการปวดจะดีขึ้น
           สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือ  ตะคริวมักเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้นถ้ามีอาการนานกว่า 1 วันหรือเกิดขึ้นบ่อยๆ  แม้จะรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มสารอาหารและรักษาอาการเบื้องต้นแล้ว  แต่ยังมีอาการเกร็งโดยเฉพาะบริเวณบริเวณบั้นเอว  หลัง คอ และมีอาการเจ็บลามไปที่แขนหรือขา  ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุทันที
                ที่มา : HEALTH & CUISINE

6 สมุนไพรที่ลำไส้ต้องการ

ใบแมงลัก
   ทำงานเหนื่อยๆ  ลำไส้ของเราก็อย่างได้อาหารบำรุงเหมือนกันนะ  และสมุนไพรทั้ง 6 ชนิดคือคำตอบที่กระเพราะและลำใส้ต้องการให้เราไปเสริมสุขภาพของมัน
ใบแมงรัก
        น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน  ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ  ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ
พริกสด
          ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา  จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง  กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป
หอมแดง
         แค่กินหอมแดงอย่างเดียว  ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว  เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่  ได้แก่สารฟลาโวนอยส์  ไกลโคไซต์  เพคติน  และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร  คุ้มกว่านี้มีอีกไหม
ใบกระเพรา
         ถึงชื่อเสียงของกระเพราจะมือมนไปมาก  ตั้งแต่พัดกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด  แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม  โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป
ตะไคร้
         ให้เคี้ยวเดี๋ยวกินยากเกินไปหน่อย  แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้  หรือซอยบางๆกินกับยำ  คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกะเพรา  คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน  สาวๆที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยไม่ควรพลาด
กระเทียม
สไปซี่มีสูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก  ให้อากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด  กินทันทีหลังอาหาร  กระเทียมมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพราะอาหารขอมขี้เกรียดของคุณยอมย่อยอาหารมื้อนั้นแต่โดยดี  ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการไม่ย่อยก็จะหายไปเอง
ขอขอบคุณ   ที่มา : นิตยาสาร Spicy

เรื่องเกี่ยวกับผมร่วง

ผมร่วง
     ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ให้ความรู้สรุปความได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีผมร่วงเองตามธรรมชาติประมาณ 100 เส้นต่อวัน ผู้ที่สงสัยว่า “ตนเองจะมีภาวะผมร่วงผิดปกติ” ให้สังเกตและลองนับจำนวนเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวันดู ถ้ามีจำนวนน้อยกว่า 100 เส้นต่อวัน ถือว่าเป็นภาวะของเส้นผม แต่ถ้ามีจำนวนเส้นผมที่หลุดร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวัน จึงจะถือว่ามีความผิดปกติของการหลุดร่วงของเส้นผม อย่างไรก็ดี ในบางสภาวะอาจทำให้ผมร่วงได้มากกว่าปกติ เช่น ความเครียด หลัง คลอดบุตร เสียเลือดอาจทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลงได้ และร่วงมากขึ้นได้แต่มักกลับมาเป็นปกติได้ หลังจากที่ได้ผ่านภาวะนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว
ผมร่วงแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1.ผมร่วงแบบเพศชาย เป็นการหลุดร่วงของเส้นผมตามธรรมชาติ มักพบในผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ที่พบบ่อยคือหัวล้านบริเวณกลางศีรษะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศชาย เมื่ออายุมากขึ้นจะมีการหลุดร่วงมากขึ้น 2.ผมร่วงจากภาวะของโรค ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุคือการติดเชื้อราและเกิดจากภูมิคุ้มกัน ถ้าเกิดจากเชื้อรา มักมีอาการอักเสบ การลอกของหนังศีรษะและเป็นสะเก็ดร่วมด้วย ส่วนชนิดที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นน้อยอาจมีอาการร่วงเป็นหย่อมๆ บางๆ แต่ในรายที่เป็นมาก อาจร่วงทั้งศีรษะได้ หรืออาจร่วงทั่วทั้งตัว คือมีการร่วงทั้งผมและขน ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์
3.ผมร่วงจากภาวะอื่นๆ เช่น การฉายรังสี การได้รับยาบางชนิด ความเครียด การดึงรั้งผมแรงๆ และต่อเนื่องนานๆ เป็นต้น ผมร่วงที่เกิดจากภาวะเครียด เช่น การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือรุนแรง การขาดสารอาหาร โรคไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น ส่วนการดึงรั้งผมอย่างแรงๆ และต่อเนื่องนานๆ มักเกิดจากการยืดผม ดัดผม ม้วนผม ย้อมผม เป็นประจำ ซึ่งล้วนมีผลทำลายความสมบูรณ์ของเส้นผม
ส่วนวิธีธรรมชาติในการรักษาอาการผมร่วง ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า สมุนไพรพื้นบ้านที่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ มี 1.เหงือกปลาหมอ โดยนำใบมาโขลกผสมน้ำ คั้นออกมาทาหนังศีรษะ บำรุงรากผม 2.ขิงแก่ นำ 1 แง่งขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียดแล้วห่อผ้าขาวบางทำลูกประคบ แล้วเอาหม้อมาใส่น้ำและขึงผ้าขาวบางไว้ตรงปากหม้อ ต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาขิงที่ห่อผ้าขาวบางไว้มาวางบนปากหม้อ เมื่อน้ำเดือด ไอน้ำจะระเหยขึ้นทำให้ลูกประคบขิงมีความร้อน นำมาประคบบริเวณที่ผมร่วง พอเย็นเอากลับไปวางที่ปากหม้อเพื่อรมไอน้ำ แล้วเปลี่ยนอีกห่อมาประคบแทน ทำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล
3.ใบทองพันชั่ง แก้เชื้อราบนหนังศีรษะ ใช้ใบทองพันชั่งตำจนละเอียด ผสมน้ำพอเหนียว นำมาพอกบนศีรษะบริเวณที่ผมร่วง หลังสระผม จากนั้นใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าล้างออก ทำติดต่อกัน 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน อาการผมร่วงจะดีขึ้น 4.มะกรูด ให้นำมะกรูด 4 ผล ใส่หม้อแล้วต้มกับน้ำสักครู่ ใช้ไฟปานกลาง พอมะกรูดนิ่มๆ ยกลง จากนั้นผ่ามะกรูดครึ่งลูกทั้ง 4 ลูก นำไปคั้นเอาแต่น้ำมะกรูดแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำมะกรูดใส่ภาชนะไว้ หลังจากสระผมให้สะอาดไม่ต้องสระผมด้วยแชมพูอีกแล้ว ให้ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สูตรนี้เหมาะสำหรับผมร่วงที่เกิดจากแชมพูเป็นด่างมากเกินไป
5.ผักบุ้งหรือใบบัวบก เอามาตำคั้นน้ำ หมักผมประมาณ 2 นาที ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม 6.น้ำมันงา ใช้ทาผม หรือชโลมก่อนการสระผมประมาณ 15 นาที ทำให้ผมดกดำและบำรุงรากผม 7.น้ำมันงาและมะกรูด ใช้หมักผม ทำให้ผมดำและเงางาม ผสมน้ำมันงา 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำคั้นจากมะกรูดสด 2-3 ผล ทำแล้วใช้หมดในครั้งเดียว
ขอขอบคุณ  ที่ข่าวสด

ดื่มต้านความเสื่อมโทรม

url_hl301009
     หากมียาวิเศษกินแล้วไม่แก่ หัวไม่หงอก ผิวไร้ริ้วรอยก็คงจะดี แต่เพราะตอนนี้ไม่มี‘กินดี’ จึงนำสูตรเครื่องดื่มพลังธรรมชาติ จากเกรปฟรุต กีวี และสัปปะรด มาแนะนำให้คุณผู้อ่านลองปรุงดื่มเพื่อต้านความเสื่อมโทรมของร่างกาย และรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น
โดย ‘เกรปฟรุต’ เป็นผลไม้จำพวกเดียวกับส้มและมะนาว อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นประโยชน์กับตับ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง ทั้งยังมีกรดซาลิไซลิก ที่สามารถละลายแคลเซียมซึ่งตกผลึกอยู่ตามข้อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบ
สำหรับ ‘กีวี’ อุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง หากรับประทานในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงจะไม่ทำให้เป็นโรคหวัด
ส่วน ‘สัปปะรด’ มีโบรเมลิน เอ็นไซม์ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล สัปปะรดอุดมไปด้วย วิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี
จะดื่มให้ได้ดี ควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ดังนี้…
-เกรปฟรุต 2 ถ้วย
-กีวี 1 ถ้วย
-สัปปะรด 1 ถ้วย
ขั้นตอนการปรุง เริ่มที่การหั่นสัปปะรดเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปแช่ตู้เย็นจนจับตัวเป็นน้ำแข็ง หั่นเกรปฟรุตให้ได้ขนาดสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ปอกเปลือกกีวีแล้วหั่นเป็นแว่น ๆ นำกีวีและเกรปฟรุตไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ จากนำน้ำไปปั่นรวมกับสัปปะรดแช่แข็ง โดยปั่นเพียงแค่หยาบ พอให้มีเนื้อสัปปะรดเคี้ยวกรุบ ดื่มได้ทันที
อย่างไรก็ตาม อย่าหวังพึ่งพาเครื่องดื่มสูตรนี้เพื่อป้องกันความชรา แต่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่เครียด รวมทั้งหมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ชะลอวัยร่วงโรยได้ชัวร์.